บทนำ
ความเป็นมาของโครงการ (Project Background)
วัด (Temple) หมายถึง
สถานที่ทางพระพุทธศาสนาซึ่งปกติมักประกอบด้วยพระอุโบสถ พระวิหาร
พระเจดีย์ รวมทั้งมีพระภิกษุสงฆ์อยู่อาศัย[i]
[i] ราชบัณฑิตยสถาน,
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2525 (กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2525),
หน้า 747
“วัด” เป็นคำซึ่งเรียกชื่อศาสนสถานแบบคำไทยโดยที่มาของคำๆ
นี้ยังไม่มีข้อยุติบ้างอธิบายว่ามาจากคำว่า
“วตวา” (ภาษาบาลี) แปลว่าเป็นที่สนทนาธรรม [i]
“วัตร” หมายถึง 1.
กิจปฏิบัติหรือหน้าที่ของพระภิกษุที่พึงกระทำ
2. การจำศีล
“วัดวา” หมายถึง การกำหนดขอบเขตของดินแดนที่สร้างเป็นศาสนสถาน[ii]
แต่เดิมครั้งพุทธกาลมีการใช้คำว่า
“อาราม” สำหรับเรียกชื่อศาสนสถานในทางพุทธศาสนา
โดยใช้เรียกชื่อ
เสนาสนะที่มีผู้ศรัทธาถวายพระพุทธองค์ในระยะแรกๆ
เช่น “เชตวนาราม” (ชื่อเต็ม “เชตวเนอนาถบิณฑิกสสอาราเม”
แปลว่า
สวนของอนาถบิณฑิกะที่ป่าเชต )
หรือ “เวฬุวนาราม หรือ “บุปพาราม” เป็นต้น
“อาราเม” หรือ “อาราม” ในคำอ่านของไทย แปลว่า “สวน”[iii]
[i] สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ พระยาอนุมานราชธน,บันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ
เล่ม 2 (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,2521), หน้า 73
[ii] สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ พระยาอนุมานราชธน,บันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ เล่ม 4 (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,2521), หน้า 248
[iii] สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ
สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ,
สาส์นสมเด็จ เล่ม 14 (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์คุรุสภา,2526 พิมพ์ครั้งที่ 2 ) หน้า 136.
ภาพที่ 1
เชตะวันมหาวิหาร
“พุทธศาสนสถาน” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “วัด” นั้นถือเป็นสถาบันที่สำคัญหน่วยหนึ่งของสังคมไทย ที่ทำหน้าที่หล่อหลอมคนในชาติให้มีหลักและแบบแผนตลอดจนแนวทางในการดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมภายใต้โลกธรรมและจิตวิญญาณแบบวิถีพุทธ จนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าสำหรับชาวไทยพุทธแล้วไม่มีใครไม่เคยไปวัดมาก่อน โดยภาพรวมแล้วส่วนใหญ่มักมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ไปเพื่อทำบุญ สร้างกุศล
สำหรับการสั่งสมมงคลชีวิตให้กับตนเองและบรรพบุรุษ หรือมีบ้างที่ไปเพื่อหวังขัดเกลาความคิด หรือชะล้างอกุศลคติ
หรือบ้างก็ต้องการเพียงความสงบทางด้านจิตใจ เป็นต้น
ซึ่งวิถีดังกล่าวจะว่าไปแล้วล้วนแต่เป็นการเข้าถึง “วัด” ในเชิงที่ยกระดับด้าน “ศีล” เท่านั้น แต่สำหรับในด้าน “ปัญญา” อันหมายถึงความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงที่มาที่ไปของบทบาทหน้าที่และความหมายขององค์ประกอบแต่ละส่วนแล้ว ก็เชื่อได้อีกเช่นกันว่าน่าจะมีไม่มากนัก เหตุนี้จึงไม่แปลกที่จะสัมผัสรู้ในการเข้าวัดจึงเป็นวิถีที่ถูกเน้นสาระไปเฉพาะทางด้านที่เป็น “พิธีกรรม” เพียงอย่างเดียว
ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
เพราะหากการเข้าไปนั้นถูกผนวกความพร้อมในด้านความรู้ความเข้าใจทั้งในเชิงเนื้อหาสาระของพื้นที่บวกกับพิธีกรรมด้วยแล้ว ก็แน่นอนว่าความรู้สึกที่พึงจะเกิดขึ้นและรับรู้นั้น ย่อมจักนำมาซึ้งความซาบซึ้ง เบิกบาน
ประทับใจและเปี่ยมสุขได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
เมื่อปีพุทธศักราช
2511 วัดสวนพิกุลได้ก่อตั้งขึ้นโดยพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนาร่วมกันถางป่าพื้นที่ประมาณ
8 ไร่เพื่อเป็นสถานที่ก่อตั้งวัดสวนพิกุล
ที่บ้านสวนพิกุล หมู่ที่ 6
ตำบลดุสิต อำเภอถ้ำพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพ่อท่านสงค์
ได้เข้ามาทำการพัฒนาวัดสวนพิกุลแห่งนี้
โดยกรมการศาสนา
กระทรวงศึกษาธิการ
เป็นหน่วยงานของภาครัฐ ควบคุม ดูแลและให้การอุปถัมภ์ ปัจจุบันมีพระยม จิตฺตสํวโร
เป็นรักษาการเจ้าอาวาส
วัดสวนพิกุลเป็นโครงการประเภทศาสนสถานเพื่อเป็นสถาบันทางศาสนา ประกอบกิจทางศาสนา บำเพ็ญศาสนกิจของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน โดยโครงการวัดตัวอย่างเช่น วัดประดิษฐาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดถ้ำทองพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี วัดหน้าพระสุเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฯลฯ
ซึ่งโครงการประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ
ดังนี้
1.ส่วนพุทธาวาส
เป็นพื้นที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
2.ส่วนสังฆาวาส
ขอบเขตบริเวณพื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดที่กำหนดไว้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์
เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับพิธีการใดทางศาสนาโดยตรง
๓.ส่วนธรณีสงฆ์
เป็นพื้นที่สำหรับเอื้อประโยชน์ใช้สอยในเชิงสาธารณะประโยชน์ในลักษณะต่างๆ
ของวัด เช่น ใช้เป็นพื้นที่เปิดโล่งเพื่อสร้างความร่มรื่นให้วัด หรือใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอื่นๆ เช่นสร้าง “เมรุ” สำหรับฌาปนกิจศพของชุมชน หรือก่อตั้งโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาแก่สังคม
[i] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 (กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2525), หน้า 747
[ii] สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ พระยาอนุมานราชธน,บันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ
เล่ม 2 (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,2521), หน้า 73
[iii] สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ พระยาอนุมานราชธน,บันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ
เล่ม 4 (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,2521), หน้า 248
[iv] สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ,
สาส์นสมเด็จ เล่ม 14 (กรุงเทพฯ
โรงพิมพ์คุรุสภา,2526 พิมพ์ครั้งที่ 2 ) หน้า 136.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น